ประเมินตนเอง มาตรฐานความปลอดภัยด้านยา โรงพยาบาลกาฬสินธุ์

รวมคะแนนประเมินเท่ากับ 63/75 (84%) คะแนนเฉี่ลย 4.2/5

มิติด้านการบริหารระบบยา

1. การจัดการระบบด้านยา

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการกำหนดนโยบาย จัดสรรงบประมาณและทรัพยากร และติดตามสนับสนุนการพัฒนาระบบการคัดยาที่ปลอดภัย เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ป่วยจะเข้าถึงยาที่มีคุณภาพสูง และได้รับบริการด้านยาที่เป็นมาตรฐาน และมีความปลอดภัยด้านยา โดยมีการดำเนินการร่วมกันของสหสาขาวิชาชีพ

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการจัดการระบบด้านยา -
1
  • ดำเนินการจัดการระบบความปลอดภัยด้านยาในโรงพยาบาล เช่น จัดทำนโยบาย กำหนดโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง
  • จัดตั้งคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ของโรงพยาบาล ซึ่งประกอบด้วยสหสาขาวิชาชีพ
-
2
  • PTC มีการประชุมสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และมีช่องทางการสื่อสารนโยบายลงสู่ผู้ปฏิบัติ
  • มีนโยบายในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาของโรงพยาบาลที่เป็นลายลักษณ์อักษร
  • มีแผนการดำเนินงานที่ตอบสนองนโยบายด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาของโรงพยาบาล และกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดระบบยาที่ครอบคลุมเป้าหมายคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย
  • มีระบบคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาที่สอดคล้องกับนโยบายของโรงพยาบาลข้างต้น เช่น ระบบเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา ระบบป้องกันการแพ้ยาตั้ง ระบบป้องกันเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์จากยา ระบบตรวจสอบการแพ้ยา/อันตรกริยาของยา ระบบการรายงานอุบัติการณ์และเหตุการณ์เกือบพลาด เป็นต้น
-
3
  • จัดทำคู่มือ/แนวทางปฏิบัติความปลอดภัยด้านยาเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่สอดคล้องกับระบบในข้อ 2 และถ่ายทอดเพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้ตรงกันกับเภสัชกรและสหวิชาชีพ
  • ติดตาม ดำเนินการ รวบรวมข้อมูลตัวชี้วัดที่กำหนดไว้จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอข้อมูลตัวชี้วัดสำคัญ เช่น ME/ADE คุณภาพยา การใช้ยาสมเหตุผล ฯลฯ ประกอบการพิจารณายาเข้าออกโรงพยาบาล และปรับปรุงนโยบาย/แนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
  • มีแผนการจัดการด้านยาในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่
-
4
  • มีรายงานสถานการณ์ความปลอดภัยด้านยา และผลการดำเนินการของระบบคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อยทุกสามเดือน)
  • มีการพัฒนาระบบคุณภาพเพื่อความปลอดภัยด้านยาของโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลจากรายงานการดำเนินการข้างต้น และหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างเหมาะสม
  • สามารถชี้นำ ประสานสหสาขาวิชาชีพ ให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบยาไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้
  • ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ทรัพยากร และกำลังคน เพื่อการพัฒนาระบบคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาอย่างต่อเนื่อง
  • มีระบบการจัดการด้านยาในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ได้รับการทดสอบ และพร้อมใช้งาน
-
5
  • มีการขยายระบบการจัดการด้านยาไปสู่โรงพยาบาลในเครือข่าย
  • มีการประเมินบทบาทหน้าที่ของ PTC และกรรมการที่เกี่ยวข้อง ในด้านชี้นำ สนับสนุน และติดตาม อย่างสม่ำเสมอ
  • มีนวัตกรรมทางการบริหารจัดการที่เกิดจากการเรียนรู้ปัญหา นำมาสู่การพัฒนาระบบยาเพื่อความปลอดภัย ที่เป็นต้นแบบได้
  • เกิดวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัยด้านยา (การรายงานเหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยง การเรียนรู้จากความผิดพลาดที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบที่ดีขึ้น ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน) ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าโรงพยาบาลเป็นองค์กรที่มุ่งพัฒนาให้เกิดความปลอดภัยด้านยากับผู้ป่วย
  • ไม่เกิดปัญหาจากการใช้ยาที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนทางยาที่ป้องกันได้ และไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
  • มีการประเมิน Cost effectiveness / Hospitalize rate เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย
-

2. โครงสร้างกายภาพและสิ่งแวดล้อม

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการจัดการเกี่ยวกับโครงสร้างทางกายภาพ สภาพแวดล้อมในการทำงานและเครื่องมืออุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อเอื้อต่อการสร้างระบบคุณภาพเพื่อความปลอดภัยด้านยาของโรงพยาบาล

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาโครงสร้างกายภาพและสิ่งแวดล้อม -
1
  • เริ่มมีการวางแผน ออกแบบการจัดการโครงสร้างกายภาพเพื่อเอื้อต่อความปลอดภัยของบุคลากร และป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
-
2
  • พื้นที่ห้องจ่ายยา คลังยา ผลิตยา มีความสะอาด เป็นระเบียบ มีแสงสว่าง ระบบระบายอากาศที่เหมาะสม ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยของผู้ให้บริการ และคลาดเคลื่อนทางยาได้
  • จัดพื้นที่ให้คำปรึกษาด้านยา แยกเป็นสัดส่วนเฉพาะ และแยกพื้นที่สำหรับกลุ่มโรคที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (หากมีการบริการ)
  • มีอุปกรณ์ที่เพียงพอสำหรับมาตรฐานการให้บริการด้านยาเบื้องต้น ที่สอดคล้องกับศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาล
  • มีระบบการจัดการห่วงโซ่ความเย็นที่เหมาะสมสำหรับวัคซีน และยาที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ มีอุปกรณ์สำหรับระบบห่วงโซ่ความเย็นที่พร้อมใช้
  • กรณีการเตรียมยาเคมีบำบัด มีระบบจัดการตามมาตรฐาน (สถานที่ผลิต-อุปกรณ์ การเก็บ เคลื่อนย้าย จัดส่ง กำจัด และทำความสะอาด)
-
3
  • มีระบบตรวจสอบเพื่อประเมินความพร้อมของพื้นที่ และอุปกรณ์การปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยและป้องกันความคลาดเคลื่อนด้านยา เช่น การควบคุมอุณหภูมิ แสง ความชื้น เป็นต้น
  • มีระบบบันทึกความคลาดเคลื่อนทางยา และข้อจำกัดทางโครงสร้างกายภาพที่ส่งผลต่อความปลอดภัยด้านยาของผู้ป่วย
-
4
  • นำข้อมูลการตรวจสอบ และรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา มาใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพให้เกิดความปลอดภัยและป้องกันความคลาดเลื่อนด้านยา อย่างสม่ำเสมอ
  • จัดสรรงบประมาณ ทรัพยากร เพื่อสนับสนุนการมีโครงสร้างทางกายภาพที่เหมาะสมต่อการป้องกันอันตราย และลดความคลาดเคลื่อนด้านยา
  • มีแผนการซ่อมการเคลื่อนย้ายในห้องยา กรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-
5
  • มีนวัตกรรมที่เกิดจากการพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาของโรงพยาบาล
  • ไม่พบรายงานความเสี่ยงทางยา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เกิดความพิการ หรือต้องได้รับการช่วยชีวิตที่มีสาเหตุจากโครงสร้างทางกายภาพ สิ่งแวดล้อม เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
-

3. ระบบข้อมูลที่เชื่อมโยง

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการจัดการข้อมูลเพื่อสนับสนุนการสร้างและพัฒนาระบบยาเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยมีการจัดการข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องยา การปฏิบัติงาน และการใช้ยาของผู้ป่วย นำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์เพื่อนำผลที่ได้ไปสู่การตัดสินใจอย่างเหมาะสม ได้อย่างรวดเร็ว และพัฒนาระบบยาอย่างต่อเนื่อง

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลที่เชื่อมโยง -
1
  • เริ่มมีการวางแผน จัดเตรียมทรัพยากรเบื้องต้นสำหรับการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านยา
-
2
  • มีระบบการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการบริหารจัดการด้านยาเพื่อความปลอดภัย ทั้งการคัดเลือก กำกับดูแลการใช้ยา การจัดหา การเก็บรักษา การกระจาย และการสั่งใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
  • มีแหล่งข้อมูลที่ทันสมัย และเข้าถึงได้เพื่อใช้อ้างอิงในการตัดสินใจด้านยา สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และการให้คำปรึกษาสำหรับประชาชน
  • มีระบบจัดการข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่สามารถใช้เพื่อการปฏิบัติงานของระบบคลังยา การวินิจฉัย และการติดตามผลการใช้ยาของผู้ป่วย
-
3
  • มีระบบข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลคลังยา ข้อมูลของผู้ป่วย การวินิจฉัย การสั่งใช้ และการติดตามผลการใช้ยา
  • กำหนดโจทย์ปัญหา และข้อมูลที่ต้องการที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบคุณภาพเพื่อความปลอดภัยด้านยาในโรงพยาบาล หรือพื้นที่รับผิดชอบ
-
4
  • ใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้จากระบบข้องมูลของโรงพยาบาล ร่วมกับข้อมูลรายงานความคลาดเคลื่อนด้านยา และข้อร้องเรียน เพื่อการติดตาม ประเมินผล และพัฒนาระบบคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาอย่างต่อเนื่อง
  • ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ทรัพยากร หรือกำลังคนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
-
5
  • เกิดวัฒนธรรมองค์กรด้านการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ โดยแนวปฏิบัติขององค์กรที่ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจไม่ได้ใช้ความเห็น
  • มีระบบข้อมูลที่ให้ข้อมูลได้ทันท่วงที เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่คาดคิด
-

4. การพัฒนาสมรรถนะบุคลากร

เป้าหมาย: ระบบการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านยา มีความสอดคล้องกับการจัดบริการด้านสุขภาพและด้านยาของโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะของกำลังคนด้านยา เพื่อพัฒนาระบบการจัดการด้านยาเพื่อคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาแก่ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรกำลังคนด้านยา -
1
  • เริ่มมีการวางแผน จัดเตรียมทรัพยากรเบื้องต้นสำหรับการพัฒนากำลังคนด้านยา
-
2
  • มีการบันทึกข้อมูลกำลังคนบนฐานข้อมูล HRopin ให้ทันสมัยอยู่เสมอ และใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อจัดทำข้อมูลด้านกำลังคนของบุคลากรในกลุ่มงานเภสัชกรรม (เช่น คุณวุฒิ แผนการศึกษา หน้าที่รับผิดชอบหลัก ความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา การฝึกอบรมเพิ่มเติม เป็นต้น)
  • มีแผนการบริหารจัดการกำลังคนในกลุ่มงานเภสัชกรรม เพื่อให้บริการด้านยาของโรงพยาบาลตามระดับศักยภาพ และ Service plan รวมถึงนโยบายของประเทศด้านยาและสุขภาพ
  • มีแผนการพัฒนาบุคลากรในกลุ่มงานเภสัชกรรม ซึ่งเป็นเส้นทางความก้าวหน้าและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของแต่ละบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการกำลังคนของกลุ่มงานเภสัชกรรม และของโรงพยาบาล
-
3
  • มีระบบเพื่อประเมินสถานการณ์กำลังคนในกลุ่มงาน (บุคคลากรเพียงพอต่อการทำงาน มีสมรรถนะในการปฏิบัติงานและมีความสุขในการทำงาน) อย่างสม่ำเสมอ
  • บุคลากรของกลุ่มงานได้รับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานตามแผนพัฒนากำลังคนของกลุ่มงาน* อย่างน้อยตนละ 1 ครั้งต่อปี
  • เภสัชกรไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ปฏิบัติงานตรงตามคุณวุฒิความเชี่ยวชาญ ตามแผนการพัฒนากำลังคนของกลุ่มงาน*
  • มีแผนการพัฒนาหัวหน้างานด้านการพัฒนาศักยภาพการบริหารบุคคล และ/หรือองค์กร
-
4
  • เภสัชกรมีการศึกษาต่อเนื่องในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพที่สภาเภสัชกรรมรับรอง หรือปริญญาโท/เอก (ในสาขาที่เกี่ยวข้อง) หรือได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรจากสภาเภสัชกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเภสัชกรที่อยู่ปฏิบัติราชการ
  • เภสัชกรไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ปฏิบัติงานตรงตามคุณวุฒิความเชี่ยวชาญ ตามแผนการพัฒนากำลังคนของกลุ่มงาน*
  • มีการนำข้อมูลจากการประเมินสถานการณ์กำลังคนในกลุ่มงาน (ในระดับ 3) เพื่อใช้พัฒนากำลังคนของกลุ่มงาน เพื่อปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อการบริการของโรงพยาบาล และสนับสนุนความปลอดภัยด้านยาของผู้ป่วย
  • มีการประยุกต์ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี การออกแบบระบบงาน หรือการจัดการกำลังคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดภาระงานของเภสัชกรในการปฏิบัติงานพื้นฐาน และเพิ่มบทบาทของเภสัชกรในการพัฒนาคุณภาพระบบยา และให้การบริบาลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยด้านยา
  • มีสัดส่วนของหัวหน้างานที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการบริหารบุคคล และ/หรือ องค์กร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50
-
5
  • เภสัชกรมีการศึกษาต่อเนื่องในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพที่สภาเภสัชกรรมรับรอง หรือปริญญาโท/เอก (ในสาขาที่เกี่ยวข้อง) หรือได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรจากสภาเภสัชกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของเภสัชกรที่อยู่ปฏิบัติราชการ
  • เภสัชกรทุกคนปฏิบัติงานตรงตามคุณวุฒิความเชี่ยวชาญ ตามแผนการบริหารจัดการกำลังคนของกลุ่มงาน*
  • หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม และหัวหน้างานทุกคนผ่านการฝึกอบรมด้านการบริหารบุคคล และ/หรือ องค์กร
  • เกิดวัฒนธรรมองค์กรด้านการทำงานร่วมกันกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อพัฒนาระบบยา คุณภาพเพื่อความปลอดภัยด้านยาแก่ผู้ป่วย
-

มิติด้านการบริการและบริบาลทางเภสัชกรรม

5. การบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก

เป้าหมาย: โรงพยาบาลได้จัดการบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย สมเหตุผล และเป็นไปตามแผนการรักษา และสามารถป้องกันความเสี่ยงทางยาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก -
1
  • เภสัชกรได้เห็นใบสั่งยาหรือเข้าถึงคำสั่งแพทย์โดยตรง เช่น ผ่านระบบ CPOE
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามแนวทางปฏิบัติของโรงพยาบาล ในขั้นตอนการตรวจสอบและจ่ายยา
  • ฉลากยามีข้อมูลครบถ้วนทั้งชื่อผู้ป่วย ชื่อยาขนาด วิธีการใช้ยา รวมถึงคำเตือนหรือฉลากช่วยที่สำคัญ
  • มีการส่งมอบยาโดยเภสัชกร ในช่วงเวลาที่ห้องยาเปิดทำการ
-
2
  • มีการสื่อสารกับผู้ป่วยโดยใช้หลักการของ Prime Question /Show and Tell ที่ชัดเจน
  • มีการค้นหาและมีการบันทึก Prescribing errors, Pre-dispensing errors, Dispensing errors และรวบรวม Administration errors นำเสนอข้อมูลในที่ประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาบริการอย่างเป็นระบบ
-
3
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาก่อนจัดเตรียมยา ตามเกณฑ์ที่โรงพยาบาลกำหนด เช่น High alert drugs ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ (เด็ก ผู้สูงอายุ ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ตับและไตบกพร่อง)
  • กรณีมีการปรึกษาแพทย์ มีการบันทึกคำปรึกษา หรือคำสั่งใหม่ลงในเวชระเบียนหรือบันทึกการส่งต่อระหว่างวิชาชีพหรือสำเนาใบสั่งยา
-
4
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามแนวปฏิบัติของโรงพยาบาลก่อนจัดเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วย ครอบคลุมใบสั่งยาร้อยละ 80 ขึ้นไป
  • มีการออกแบบสารสนเทศเพื่อให้เภสัชกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย ในการทบทวนคำสั่งใช้ยา
  • มีการค้นหา Dispensing errors ในเชิงรุก อย่างเป็นระบบชัดเจน (ไม่เพียงเฉพาะการตั้งรับ รอการแจ้งหรือรายงาน)
-
5
  • นำข้อมูลความคลาดเคลื่อนด้านยามาใช้เพื่อการพัฒนางานเพื่อแก้ไขปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาอย่างเป็นระบบ *
  • ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไม่พบความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drug) ในระดับ E ขึ้นไป*
  • ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีอุบัติการณ์ของความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยาที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เกิดความวิการหรือต้องได้รับการช่วยชีวิต *
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามมาตรฐานก่อนจัดเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วย ครอบคลุม ใบสั่งยาร้อยละ 100 ขึ้นไป
  • ผู้รับบริการร้อยละ 80 ได้รับยาภายใน 20 นาที นับแต่อื่นใบสั่งยาที่ห้องจ่ายยา/ ได้รับคำสั่งใช้ยา
  • มีนวัตกรรมในการสนับสนุนกระบวนการบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก เช่น - การลดปัญหาระยะเวลารอคอยและความแออัดในโรงพยาบาล เช่น ระบบอัตโนมัติทางเภสัชกรรม, ระบบบริการเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อาการคงที่, ระบบบริการจ่ายยาทางไปรษณีย์, โครงการรับยาร้านยาโกส้บ้าน - ด้านส่งเสริมการใช้ยา และความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้ป่วย เช่น การสั่งจ่ายยาผ่านระบบคอมพิวเตอร์, ฐานข้อมูล หรือเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจสั่งใช้ยา, อลากยาอัจฉริยะ
-

6. การบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน

เป้าหมาย: โรงพยาบาลจัดการบริการจ่ายยาผู้ป่วยในที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การกระจายยาสำหรับผู้ป่วยในมีระบบที่สามารถป้องกันความเสี่ยงและความคลาดเคลื่อนทางยาที่อาจเกิดขึ้น และผู้ป่วยใช้ และ/หรือ รับยาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นไปตามแผนการรักษา

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน -
1
  • เภสัชกรได้เห็นใบสั่งยาหรือเข้าถึงคำสั่งแพทย์โดยตรง เช่น ผ่านระบบ CPOE
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามแนวทางปฏิบัติของโรงพยาบาล ในขั้นตอนการตรวจสอบและจ่ายยา
  • ฉลากยามีข้อมูลครบถ้วนทั้งชื่อผู้ป่วย ชื่อยาขนาด วิธีการใช้ยา คำเตือน รวมถึงข้อมูลที่จำเป็นเช่นชนิดของสารละลาย ความเข้มข้น อัตราเร็วในการบริหารยา ความคงตัวของยา
  • มีระบบการจัดการ Emergency drugs เช่น จัดเตรียม CPR BOX set
-
2
  • มีการค้นหาและบันทึก Prescribing errors, Pre-dispensing errors, Dispensing errors และรวบรวม Administration errors นำเสนอข้อมูลในที่ประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาบริการอย่างเป็นระบบ
  • มีการกำหนดจำนวน และรายการยาสำรองประจำกอยู่ป่วยแต่ละหอที่เหมาะสมร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ
-
3
  • มีระบบ Medication reconciliation ในกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมายที่พัฒนาร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อมีข้อมูลเปรียบเทียบคำสั่งใช้ยาหรือส่งต่อคำสั่งใช้ยาค่าสุดในทุกรอยต่อการรักษา (แรกรับ ระหว่างนอนโรงพยาบาล ส่งต่อ และจำหน่ายกลับ)
  • ดำเนินการ Medication reconciliation โดยระบบที่พัฒนาขึ้น ภายใน 24 ชั่วโมง หลังรับผู้ป่วยเข้า (admit)
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาก่อนจัดเตรียมยา ตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น High alert drugs ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ (เด็ก ผู้สูงอายุ ตั้งครรภ์ ให้นมนตร ตับและไต บทพร่อง)
  • ผู้ป่วยหรือญาติทุกคนได้รับการส่งมอบยาและคำแนะนำการใช้ยาก่อนกลับบ้าน โดยเภสัชกร
  • มีการสื่อสารกับผู้ป่วยโดยใช้หลักการของ Prime Question
  • มีระบบการจัดการยาเดิม (ยาที่ผู้ป่วยนำมาใช้เองในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล)
  • จ่ายยาระบบ Unit dose หรือ One Day dose ในหอผู้ป่วย แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล
  • จ่ายยา Stat dose ภายใน 15 นาที (ผู้ป่วยควรได้รับยา Stat dose ภายใน 30 นาทีตั้งแต่แพทย์สั่งจ่ายยา)
-
4
  • ดำเนินการ Medication reconciliation โดยระบบที่พัฒนาขึ้น ภายใน 24 ชั่วโมง หลังรับผู้ป่วยเข้ารักษาตัว และมีข้อมูลเปรียบเทียบคำสั่งใช้ยาหรือส่งต่อคำสั่งใช้ยาส่าสุดในทุก รอยต่อการรักษา (แรกรับ ระหว่างนอนโรงพยาบาล ส่งต่อ และจำหน่ายกลับ) ร้อยละ 80
  • จ่ายยาระบบ Unit dose หรือ One Day dose ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล อย่างน้อยในยาเม็ด และยาอืด
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามมาตรฐานก่อนจัดเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วย ครอบคลุมใบสั่งยาร้อยละ 80 ขึ้นไป
  • มีระบบการตรวจสอบยาที่เหลือในหอผู้ป่วยที่ชัดเจนเพื่อการเรียกยาคืน
  • จ่ายยาทั่วไปที่เป็นคำสั่งใหม่ ภายใน 120 นาที หลังจากที่ได้รับใบเบิกหรือคำสั่งใช้ยา
  • มีการนิเทศกำกับ และติดตามระบบการจัดการด้านยานนทอยู่ป่วยอย่างน้อยทุก 3 เดือน เช่น ยาสำรอง ยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ ยาแช่เย็น การแบ่งใช้ยา การเตรียม การบริหารยา การติดตามยาความเสี่ยงสูง การรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา
-
5
  • มีการทบทวนใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาตามมาตรฐานก่อนจัดเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วย ครอบคลุมใบสั่งยาร้อยละ 100 ชั้นไป*
  • ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไม่พบความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drug) ในระดับ E ชั้นไป*
  • ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีอุบัติการณ์ของความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยาที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เกิดความพิการหรือต้องได้รับการช่วยชีวิต *
  • ดำเนินการ Medication reconciliation โดยระบบที่พัฒนาขึ้น ภายใน 24 ชั่วโมง หลังรับผู้ป่วยเข้ารักษาดัว และมีข้อมูลเปรียบเทียบคำสั่งใช้ยาหรือส่งต่อคำสั่งใช้ยาส่าสุดในทุก รอยต่อการรักษา (แรกรับ ระหว่างนอนโรงพยาบาล ส่งต่อ และจำหน่ายกลับ) ร้อยละ 100
  • มีนวัตกรรมในการสนับสนุนกระบวนการบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน
-

7. งานบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีระบบการบริบาลทางเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยนอก เพื่อการติดตาม ค้นหา พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสามารถใช้ยาตามสั่ง ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย บรรลุแผนการรักษา

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก -
1
  • มีการกำหนดเกณฑ์ในการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ในกลุ่มโรค กลุ่มยา ตามเกณฑ์ที่กำหนด (สอดคล้องตาม Service plan หลัก หรือปัญหาในพื้นที่)
-
2
  • มีการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ในกลุ่มโรค กลุ่มยา ตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • มีการจัดทำ รวบรวมข้อมูลการใช้ยาและบันทึกข้อมูลผู้ป่วยที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อติดตามปัญหา การแก้ไข ป้องกันและการให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
  • มีการจัดทำคู่มือ/แนวทางการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ในกลุ่มโรค กลุ่มยา ตามเกณฑ์ที่กำหนด
-
3
  • มีการจัดทำ รวบรวมข้อมูลการใช้ยาและบันทึกข้อมูลผู้ป่วยที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อติดตามปัญหา การแก้ไข ป้องกันเพื่อติดตามการใช้ยาและการให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถเข้าถึงได้โดยสหสาขาวิชาชีพ
  • มีการปรับปรุงคู่มือ/แนวทางการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ในกลุ่มโรค กลุ่มยาที่เป็นปัจจุบัน
  • มีกระบวนการดูแลผู้ป่วยร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ โดยการกำหนดเป้าหมาย และแผนการรักษาร่วมกัน
-
4
  • มีการประเมินความรู้ ความร่วมมือในการใช้ยาและความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกอย่างเป็นระบบ และนำผลการประเมินมาใช้เพื่อการพัฒนาระบบหรือกิจกรรมการบริบาลทางเภสัชกรรม
  • มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเภสัชกรในกรณีศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาทางด้านยา เพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป ทุก 3 เดือน
  • มีการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกครอบคลุมกลุ่มโรค กลุ่มยา หรือ Service plan หรือปัญหาในพื้นที่ ร้อยละ 80
-
5
  • ผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรังได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ครั้งหรือจนกว่าผู้ป่วยจะสามารถควบคุมค่าเป้าหมายการรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดได้ (มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ สรุปผลการดำเนินงานอย่างน้อยย้อนหลัง 6 เดือน) *
  • มีระบบส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างหน่วยงานในโรงพยาบาล และ/หรือ เครือข่าย*
  • ผู้ป่วยนอกกลุ่มโรคเรื้อรังคลินิกเฉพาะโรค สามารถควบคุมอาการของโรคได้บรรลุเป้าหมายทางคลินิกตามเกณฑ์มาตรฐาน (สอดคล้องตาม Service plan หลัก)*
  • ผู้ป่วยนอกกลุ่มโรคเรื้อรังเป้าหมาย กลับเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากความไม่สามารถใช้ยาตามสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ไม่เกินร้อยละ 10
  • มีระบบการประเมิน หรือประกันคุณภาพของเภสัชกรผู้ให้ข้อมูลที่ให้บริการที่เป็นระบบชัดเจน
  • มีนวัตกรรมในการสนับสนุนกระบวนการบริการ ในด้านส่งเสริมการใช้ยา และความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้ป่วย
-

8. งานบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีระบบการบริบาลทางเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยใน เพื่อติดตาม ค้นหา พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสามารถใช้ยาตามสั่ง ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย บรรลุแผนการรักษา

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน -
1
  • มีการกำหนดเกณฑ์ในการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน ในกลุ่มโรค กลุ่มยา ที่เชื่อมโยงกับงานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก หรือหอผู้ป่วย หรือสอดคล้องตาม Service plan หลัก หรือปัญหาในพื้นที่ ตามเกณฑ์ที่กำหนด
-
2
  • มีการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • มีการจัดทำ รวบรวมข้อมูลการใช้ยาและบันทึกข้อมูลผู้ป่วยที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อติดตามปัญหา การแก้ไข ป้องกันและการให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
  • มีการทำคำปรึกษาแนะนำการใช้ยาก่อนจำหน่าย (Discharge Counseling) ตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • มีการจัดทำคู่มือ/แนวทางการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน ในกลุ่มโรค กลุ่มยา ตามเกณฑ์ที่กำหนด
-
3
  • เภสัชกรติดตาม ค้นหา พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข และป้องกันปัญหา ตามเป้าหมายและแผนการรักษาร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ (Independent pharmacist round)
  • เภสัชกรบันทึกการบริบาลทางเภสัชกรรมใน Pharmacist Note / Progress Note หรือใน Chart ผู้ป่วยเพื่อการสื่อสารร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ
  • มีการปรับปรุงคู่มือ/แนวทางการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน ในกลุ่มโรค กลุ่มยาที่เป็นปัจจุบัน
-
4
  • มีการประเมินความรู้ ความร่วมมือในการใช้ยาและความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในอย่างเป็นระบบ และนำผลการประเมินมาใช้เพื่อการพัฒนาระบบหรือกิจกรรมการบริบาลทางเภสัชกรรม
  • มีระบบการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเภสัชกรในกรณีศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาทางด้านยาเพื่อการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทุก 3 เดือน
-
5
  • มีการรวบรวมและนำเสนอข้อมูลลัพธ์ของการให้การบริบาลทางเภสัชกรรมร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ที่บ่งชี้ได้ว่าช่วยให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยด้านยาที่ชัดเจน *
  • ไม่พบปัญหาการกลับเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่สามารถป้องกันได้ในปีที่ผ่านมา *
  • มีเภสัชกรให้การบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในประจำหอผู้ป่วยตามที่นโยบายโรงพยาบาล*
  • มีระบบส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างงานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน และ/หรือ เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
  • มีระบบการประเมินหรือประกันคุณภาพของเภสัชกรผู้ให้ข้อมูลที่ให้บริการที่เป็นระบบชัดเจน
  • มีการติดตามระดับยาในเลือดแก่ผู้ป่วยตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ยาที่มี Therapeutic Index แคบ ยากดภูมิคุ้มกัน ยาที่มีผลต่อผู้ป่วยโรคไตหรือมีภาวะการทำงานของไตบกพร่อง หรือมีระบบเฝ้าระวังป้องกันปัญหาการใช้ยาในกลุ่มดังกล่าวที่ชัดเจน (มีคู่มือรายการยา มีเอกสารสรุปผลการดำเนินงาน)
  • ผู้ป่วยในกลุ่มโรคเป้าหมาย กลับเข้ารับการรักษาด้วในโรงพยาบาลจากความไม่สามารถใช้ยาตามสังหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ไม่เกินร้อยละ 10
  • มีนวัตกรรมในการสนับสนุนกระบวนการบริการ ในด้านส่งเสริมการใช้ยา และความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้ป่วย เช่นพัฒนาสื่อต่างๆ ระบบเทเลฟาร์มาชีในผู้ป่วย COVID
-

มิติด้านการจัดการระบบยา

9. การติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการค้นหาความเสี่ยงเชิงรุก ระบบการเตือนเมื่อพบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สัมพันธ์กับการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อนำไปสู่การวางระบบจัดการป้องกันการเกิดและลดความรุนแรงของการเกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพในโรงพยาบาล -
1
  • เริ่มดำเนินการวางระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น มีการกำหนดโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง จัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
-
2
  • มีการมาการที่เป็นสหวิชาชีพรับผิดชอบชัดเจน
  • มีนโยบายในเรื่องติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
  • มีคู่มือการดำเนินงาน แนวทางปฏิบัติในการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ฯ และระบบป้องกันการแพ้ยาซ้ำที่ชัดเจน
  • มีระบบรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบ spontaneous reporting system (SRS)
  • มีตัวชี้วัดระบบงานที่ชัดเจน
-
3
  • มีการรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์แบบ spontaneous report อย่างสม่ำเสมอ
  • มีการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการประเมินอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เช่น Naranjo’s algorithm, WHO’s criteria หรือ Thai’s algorithm
  • มีการจัดทำระบบประเมิน preventability ของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยมีการเลือกใช้เกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน เช่น Schumock and Thornton preventability scale เป็นต้น
  • มีระบบการติดตาม ประเมินผล วิเคราะห์ข้อมูลรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่พบ เปรียบเทียบตัวชี้วัด และเชื่อมโยงกับรายงานความเสี่ยงด้านยาอื่นๆ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ราก (root cause analysis) เมื่อพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ป้องกันได้ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
  • มีการนำเสนอปัญหาที่พบในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอและเป็นรูปธรรม อย่างน้อยทุก 3 เดือน
-
4
  • มีการพัฒนาระบบการใช้ตัวส่งสัญญาณเพื่อค้นหาอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Trigger Tool) ที่ไม่ได้รับรายงานเข้ามาตามระบบปกติ เป็นการค้นหาความเสี่ยงเชิงรุกและมีการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม
  • มีการพัฒนาระบบการค้นหาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่สามารถทำนายได้ด้วยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยา โดยเชื่อมโยงกับปัญหาจากการใช้ยา (drug related problem: DRP) ที่พบในงานบริบาลผู้ป่วยทางเภสัชกรรม เช่น การเกิดภาวะเลือดออกจากการใช้ยา warfarin เป็นต้น
-
5
  • มีการบูรณาการระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพ เข้ากับนโยบายด้านยาอื่น ๆ ในโรงพยาบาลและในชุมชนอย่างสอดคล้อง เช่น นโยบายอำเภอ/จังหวัดเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
  • มีนวดกรรมที่เกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาที่พบในโรงพยาบาล และนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ นโยบาย แนวทางปฏิบัติใหม่เพื่อป้องกันอันตรายจากการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
  • ไม่พบผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ป้องกันได้ เช่น จากการแพ้ยาซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา
  • มีผลงานวิจัย หรือ R2R เพื่อพัฒนางานส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลอย่างต่อเนื่อง
-

10. การส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีระบบทบทวน ประเมินการใช้ยา (drug utilization evaluation & drug utilization review) ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาสมเหตุผล เพิ่มคุณภาพการรักษาและประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล ลดปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้ยาไม่สมเหตุผล เช่น การเกิดเชื้อสื่อยา เป็นต้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลในโรงพยาบาล -
1
  • เริ่มดำเนินการวางระบบเพื่อการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลในโรงพยาบาล เช่น มีการกำหนดโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง
-
2
  • มีการมาการที่เป็นสหวิชาชีพรับผิดชอบชัดเจน
  • มีนโยบายในเรื่อง การส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
  • มีการเลือกรายการยาที่ควบคุมกำกับอย่างเหตุผล และมีหลักฐานของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลอย่างชัดเจน เช่น เป็นยาความเสี่ยงสูง (high risk) เป็นยาค่าใช้จ่ายสูง (high cost) ยาที่มีปริมาณการใช้สูง (high volume) หรือเป็นยาที่การใช้ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อสื่อยา เช่น ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง (broad spectrum antibiotic) เป็นต้น มีการจัดทำแนวทางการสั่งใช้ยาอย่างเหมาะสม คู่มือการดำเนินงาน และแนวทางปฏิบัติในการสั่งใช้ยาที่ชัดเจน
  • มีการจัดทำตัวชี้วัดระบบงานที่ชัดเจน
-
3
  • มีการดำเนินงานตามแนวทางปฏิบัติในทำงานส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล
  • มีระบบการรวมรวมข้อมูล ติดตาม ประเมินผล วิเคราะห์ข้อมูล เบรียบเทียบตัวชี้วัด อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
  • มีการนำเสนอปัญหาที่พบในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอและเป็นรูปธรรม อย่างน้อยทุก 3 เดือน
-
4
  • มีการทบทวนแนวทางปฏิบัติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • มีการทบทวนรายการยาเพื่อประเมินการใช้ยาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • มีการดำเนินการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลอย่างต่อเนื่อง และสามารถบรรลุเป้าหมายตามตัวชี้วัดไม่น้อยกว่าว้อยละ 80
-
5
  • มีการบูรณาการระบบส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล เข้ากับนโยบายด้านยาอื่น ๆ ในโรงพยาบาลและในชุมชนอย่างสอดคล้อง เช่น นโยบายอำเภอ/จังหวัดเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
  • มีนวดกรรมที่เกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาในโรงพยาบาล และนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ นโยบาย แนวทางปฏิบัติใหม่เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล
  • บรรลุผลตามเป้าหมายของตัวชี้วัดการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลที่ได้วางไว้ในทุกตัวชี้วัด
  • มีผลงานวิจัย หรือ B2R เพื่อพัฒนางานส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลอย่างต่อเนื่อง
-

11. งานเภสัชกรรมปฐมภูมิ

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการระบบยา (Drug system management) ในเครือข่ายระบบสุขภาพปฐมภูมิ อันจะส่งผลให้ประชาชนเกิดความปลอดภัยจากการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ และมีความรอบรู้ด้านการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างสมเหตุผล ผู้ป่วยเข้าถึงยาอย่างต่อเนื่องและใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ครอบครัวสามารถพึ่งตนเองและจัดการตนเองด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้อย่างถูกต้อง รวมถึงชุมชนมีความตระหนักรู้และพึ่งตนเองในการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ การพัฒนางานเภสัชกรรมปฐมภูมิ -
1
  • มีคำสั่งแต่งตั้ง/มอบหมายเภสัชกรรับผิดชอบงานปฐมภูมิ และแผนการออกปฏิบัติงานในหน่วยปฐมภูมิ
  • มีแผนการอบรมเภสัชกรผู้ปฏิบัติงานปฐมภูมิ
  • มีกรอบบัญชีรายการยาหน่วยบริการปฐมภูมิ รวมถึงยาช่วยชีวิต ตามศักยภาพของผู้สั่งใช้ยา
  • มีคู่มือ/แนวทางปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านยาในหน่วยบริการปฐมภูมิ
-
2
  • 2.1 การส่งมอบยาและการบริการทางเภสัชกรรม
    • มีการส่งมอบยาให้ผู้ป่วยอย่างถูกต้องและเหมาะสม
    • มีแนวทางการเฝ้าระวังการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยา
    • มีแนวทางการเฝ้าระวังการใช้ยาใน ผู้ป่วยแท้ยา และผู้ที่ใช้ยาเสี่ยงสูง เช่น Warfarin
    • มีแนวทางการใช้ยา และเครื่องมือสนับสนุนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในผู้ใช้ยากลุ่มเป้าหมาย¹
  • 2.2 การจัดการระบบยาที่หน่วยบริการปฐมภูมิ
    • มีการจัดเก็บยาและเวชภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐาน
    • ดูเย็นเก็บยาและวัคซีนเป็นไปตามมาตรฐาน
    • ควบคุมและการเบิกจ่ายเวชภัณฑ์เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
    • ส ารองยาและเวชภัณฑ์เพียงพอ มีระบบควบคุมยาหมดอายุ
  • 2.3 การบริบาลเภสัชกรรมในหน่วยบริการปฐมภูมิ
    • ให้การบริบาลเภสัชกรรมในหน่วยบริการปฐมภูมิแก่ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาล
    • ให้การบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่บ้าน²
    • มีระบบการจัดการยาเดิมของผู้ป่วย (Medical Reconciliation)
  • 2.4 การส่งเสริมศักยภาพประชาชน ครอบครัว ชุมชน
    • มีกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพแก่ครอบครัว
    • มีกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในชุมชน
-
3
  • ผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ RDU ได้แก่ การใช้ยาปฏิชีวนะโนโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคท้องร่วมเฉียบพลัน ไม่เกินร้อยละ 20
  • มีผลการดำเนินงานเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา และป้องกันการแพ้ยาซ้ำ
  • มีผลลัพธ์การจัดการคลังเวชภัณฑ์ผ่านเกณฑ์รพ.สต.ติดดาว/ตรวจสอบภายใน
  • มีรายงานผลสรุปการส ารวจและให้คำแนะน าร้านช าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • มีกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่ามี Home pharm care หรือ Community pharm care
  • มีการพัฒนาระบบบริการเภสัชกรรมเชิงรุกที่สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง เช่น ภาวะโฆระบาด โดยการทำ Tele pharmacy, ระบบกระจายยา Home isolation
  • มีแนวทางในการดำเนินการเพื่อผู้ป่วย NCD มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี และมีความปลอดภัยจากการใช้ยา
-
4
  • มีผลลัพธ์ในการดำเนินการเพื่อผู้ป่วย NCD มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี และมีความปลอดภัยจากการใช้ยา
  • ไม่พบปัญหายาหมดอายุ ยาขาดจ่ายให้ผู้ป่วย และยาเหลือใช้งานไม่สามารถนำกลับมาใช้ต่อได้
  • มีผลลัพธ์การพัฒนาระบบยาที่ตอบสนองต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง เช่น การทำ Tele pharmacy, ระบบกระจายยา Home Isolation
  • มีโครงการการพัฒนาศักยภาพในการดูแลตนเองเรื่องยา เช่น ความรอบรู้เรื่องยา
-
5
  • มีการดำเนินกิจกรรมในรูปแบบโครงการ วิจัย นวัตกรรม ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับอำเภอ
  • เภสัชกรที่ปฏิบัติงานปฐมภูมิอย่างน้อยร้อยละ 80 ผ่านการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ที่สภาเภสัชกรรมให้การรับรอง
  • หน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่รับผิดชอบผ่านเกณฑ์รพ.สต.ติดตามในหมวดเภสัชกรรม
  • ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ มีศักยภาพในการดูแลตนเองในเรื่องยา และสุขภาพได้ดีขึ้น
-

มิติด้านการบริหารยาและเวชภัณฑ์

12. การผลิตและเตรียมยาในโรงพยาบาล

เป้าหมาย: เพื่อให้มีการผลิตยาที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการใช้ยา

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการพัฒนาการผลิตและเตรียมยาในโรงพยาบาล -
1
  • มีการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบและคุณสมบัติ ทักษะที่ชัดเจนของบุคลากร
  • มีสถานที่เตรียมยาและอุปกรณ์ที่สะอาด เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตยา
-
2
  • มีการจัดทำ Master formula ของยาเตรียมทุกรายการตามเภสัชตำรับโรงพยาบาล
  • มีการทำ Working formula ทุกขั้นตอนการผลิต และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
-
3
  • มีระบบไฟฟ้า และเตรียมยาเตรียมเฉพาะราย (Extemporaneous preparation)
  • มีการจัดทำ SOP ในกระบวนการหลักของการผลิตยาที่ชัดเจนและมีการปรับปรุงให้ทันสมัยสม่ำเสมอ
  • มีระบบควบคุมคุณภาพยาเตรียมเบื้องต้น เช่น pH น้ำ การปนเปื้อนเชื้อ
-
4
  • เภสัชกรผู้ปฏิบัติงานได้รับประกาศนียบัตร หรือผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทาง เช่น การเตรียมยาเคมีบำบัด
  • มีระบบการติดตามคุณภาพ และ/หรือ ความของตัวของยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิต
  • มีระบบติดตามผลของยาที่ผลิตต่อตัวผู้ป่วย เช่น ADR/pADE (preventable ADE) ที่เกิดจากยา
  • มีการนำข้อมูลสะท้อนกลับจากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่รห.ผลิต มาพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น
-
5
  • กระบวนการเตรียมยามีการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการผลิตยาที่ดีในโรงพยาบาล (Good preparation practice)
  • มีการทำวิจัย หรือนำเทคโนโลยี หรือนวัตกรรม มาใช้ในงานผลิตยา
  • ไม่มีรายงานอุบัติการณ์ ADE ที่มีสาเหตุจากยาเตรียมที่ผลิต
  • ในกรณีที่มีการเตรียมเคมีบำบัด หรือสารอาหารทางหลอดเลือดดำ มีการติดตามให้การบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด/สารอาหารทางหลอดเลือดดำเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของการรักษา (ผู้ทำหน้าที่บริบาลทางเภสัชกรรมอาจเป็นเภสัชกรงานเภสัชกรรมการผลิต หรือเภสัชกรงานบริบาลทางเภสัชกรรมหรืองานที่ได้รับมอบหมาย)
-

13. การคัดเลือกยา

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการกำหนดนโยบายในการจัดการเภสัชตำรับของโรงพยาบาล ให้มีรายการยาเท่าที่จำเป็น คัดเลือกยาที่มีประสิทธิภาพ สนับสนุนด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงจากการใช้ยา และมีความคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เพื่อให้มียาที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และปลอดภัยในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการเชิงระบบใด ๆ เพื่อการจัดการบัญชียาโรงพยาบาล -
1
  • มีการจัดตั้งคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ที่เป็นสหสาขาวิชาชีพ ทำหน้าที่ดูแล กำกับ การเสนอยาเข้า และตัดยาออกจากบัญชียาโรงพยาบาล
-
2
  • PTC กำหนดเกณฑ์และแนวทาง ในการเสนอยาเข้า และ ตัดยาออกจากบัญชียาโรงพยาบาล
  • PTC ประตูมเพื่อพิจารณา เสนอยาเข้า และ ตัดยาออกจากบัญชียาโรงพยาบาล อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-
3
  • PTC จัดทำระเบียบบฏิบัติ ในการคัดเลือกยาเข้า และตัดยาออกจากบัญชียาโรงพยาบาล โดยครอบคลุมถึงการจำกัดรายการยาให้มีเท่าที่จำเป็นพิจารณาถึงความปลอดภัยและความคุ้มค่า
  • การพิจารณายาเข้าบัญชีโรงพยาบาล มีการจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างยาที่เสนอกับยาที่มีในบัญชีโรงพยาบาลในข้อบ่งชี้เดียวกันโดย เปรียบเทียบในด้านประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง รวมถึงความคุ้มค่า
  • มีแนวทางในการขอใช้ยา ที่อยู่นอกบัญชีเมื่อจำเป็น โดยใช้หลักวิชาการ และสถานการณ์ลูกเฉิน
  • มีแนวทางการตัดยาออกจากบัญชีโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพิจารณาถึงข้อมูลทางวิชาการในด้านประสิทธิผล ความปลอดภัย และ ความคุ้มค่า
  • มีแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาจากการใช้ยา เช่น เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์จากยา อันตรปฏิกิริยาของยา ความคลาดเลื่อนทางยาอย่างเป็นระบบ
-
4
  • มีคณะอนุกรรมการสาขาต่างๆ พิจารณาคัดเลือก หรือตัดยาจากบัญชียา โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อเสนอ PTC
  • มีการทบทวนเภสัชตำรับโรงพยาบาล อย่างน้อย ปีละ 1ครั้ง ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
  • วิเคราะห์ข้อมูลปัญหาที่เกี่ยวกับใช้ยา (จากระดับที่ 3) เพื่อการบริหารจัดการยาในบัญชีโรงพยาบาลให้มีความปลอดภัย
  • เภสัชตำรับโรงพยาบาล มีข้อมูลจำเป็น ครบถ้วน และง่ายต่อการเข้าถึง
-
5
  • คณะอนุกรรมการสาขาต่างต่าง พิจารณาคัดเลือกยา โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และมีการนำหลักการคิดคะแนน IsafE, EMCI และ Cost effectiveness มาประเมิน
  • นำเสนอข้อมูลเภสัชตำรับของโรงพยาบาล เช่น ผ่าน Application เพื่อให้ข้อมูล ข้อบ่งใช้ วิธีใช้ อาการข้างเคียง ข้อควรระวัง การจัดเตรียมยา ความคงตัว และ แนวทางการติดตามที่จำเป็นครบถ้วน ที่ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันทุกปี
  • มีการวิเคราะห์ปรับปรุง แนวทางการคัดเลือกยา อย่างสม่ำเสมอ
  • มีการประเมิน วางแผน จัดการ เภสัชตำรับโรงพยาบาลให้พร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ โรคอุบัติใหม่
-

14.การจัดซื้อจัดหา

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการระบบการจัดซื้อ และบริหารคลังเวชภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำถูกต้องตามกฎ ระเบียบที่กำหนด มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ยามีเพียงพอและมีคุณภาพจนกว่าจะส่งมอบให้ผู้ป่วย

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อการพัฒนาการจัดซื้อ และการบริหารคลังเวชภัณฑ์ -
1
  • การดำเนินการจัดซื้อยา ถูกต้องตามระเบียบพัสดุ
-
2
  • หน่วยจัดซื้อยา แยกจากงานคลังยาอย่างชัดเจน เพื่อมีการตรวจสอบ (Cross-check)
  • มีการจัดทำแผนจัดซื้อ และดำเนินการตามแผนจัดซื้อที่จัดทำขึ้น
-
3
  • มีแนวทางการคัดเลือกบริษัทในการจัดซื้อ โดยคานึงถึงความปลอดภัยและ ป้องกันความคลาดเคลื่อน เช่น การพิจารณารายการยาที่ เป็น look-alike-sound-alike
  • มีแนวทางการคัดเลือกบริษัทในการจัดซื้อ โดยคานึงถึง มาตรฐานโรงงานผลิต และการจัดส่งโดย จัดซื้อจากบริษัทที่ผ่านมาตรฐานโรงงาน GMP/PICS และมาตรฐานการเก็บรักษาและกระจายยา GDP/GSP
  • ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ในการดำเนินการจัดซื้อ ติดตาม และ บริหารให้มีคงคลังที่เหมาะสม และลดปัญหายาชาดคลัง หรือ ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด
  • การจัดซื้อเป็นไปตามแผน กรณีที่มีการใช้ไม่เป็นไปตามแผน มีการรายงานและขออนุมัติถูกต้องตามระเบียบพัสดุ
  • การดำเนินการจัดซื้อ ถูกต้องตามระเบียบพัสดุ มีการ E-bidding ตามระเบียบ และ มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
  • มีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของยาที่จัดซื้อ โดยเฉพาะยาที่สำคัญ เช่น ยาความเสี่ยงสูง ยาช่วยชีวิต
  • มีบัญชียาช่วยชีวิต (life saving) และยาสำคัญที่ห้ามขาดคลัง ยกเว้นกรณีที่ยาขาดจากผู้ผลิต
-
4
  • มีการทำทะเบียนผู้ขาย (Approved vender list) โดยกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน และมีการจัดลำดับโดยประเมินจาก มาตรฐานต่างต่างที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพยา เช่น มาตรฐานห้องแลป ISO 17025, มาตรฐาน ISO 9001, มาตรฐานเกณฑ์จริยธรรม ฯ
  • มีการจัดทำคุณลักษณะเฉพาะของยาที่จัดซื้อ โดยอ้างอิงตามตำราอ้างอิงที่ประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุข หรือ ICH guideline
  • ในกรณีที่เป็นการจัดซื้อครั้งแรก มีการตรวจสอบข้อมูลขึ้นทะเบียน ข้อมูลคุณภาพของยา วิธีใช้ และการเก็บรักษาอย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ
-
5
  • มีการรวบรวมปัญหาจากผลิตภัณฑ์ยาในด้านคุณภาพ เพื่อการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลในการคัดเลือกบริษัท หรือแจ้งกลับบริษัทเพื่อจัดการแก้ไข รวมถึงมีกระบวนการจัดทำ black list กรณีพบข้อผิดพลาดร้ายแรง
  • มีการทบทวนและปรับปรุงทะเบียนผู้ขาย และคุณลักษณะเฉพาะของยา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-

15. การบริหารคลังเวชภัณฑ์

เป้าหมาย: โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการระบบการจัดซื้อ และบริหารคลังเวชภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำถูกต้องตามกฎ ระเบียบที่กำหนด มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ยามีเพียงพอและมีคุณภาพจนกว่าจะส่งมอบให้ผู้ป่วย

ระดับ การดำเนินการ หมายเหตุ
0 ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในการจัดการบริหารคลังเวชภัณฑ์ -
1
  • คลังยามีชั้นจัดเก็บ ชั้นเรียงยา พร้อมทั้งจัดทำป้ายบ่งชี้ และมีกุญแจ ที่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน
  • มีการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น ให้เหมาะสมกับการจัดเก็บยาแต่ละประเภท
-
2
  • มีพื้นที่จัดเก็บยาแยกจากเวชภัณฑ์ และแบ่งประเภทการจัดเก็บอย่างเป็นหมวดหมู่ มีการระบุตำแหน่งที่เก็บอย่างชัดเจน จัดเรียงเป็นระเบียบ กำหนดผู้รับผิดชอบกุญแจและผู้ที่สามารถเข้าไปใน พื้นที่คลังยา
  • มีการติดตามบันทึกอุณหภูมิ และความชื้นของคลังยา ทั้งยาที่จัดเก็บในอุณหภูมิปกติ และ ยาที่อุณหภูมิ 2-8 องศา
  • มีเครื่องมือในการบริหารจัดการคลัง ที่สามารถกำหนดปริมาณสำรอง ค่าต่ำสุด สูงสุด รวมถึงการตรวจสอบยอดคงเหลือได้อย่างถูกต้อง
-
3
  • มีกุญแจล็อคสองชั้น และกล้องวงจรปิด กำหนดผู้รับผิดชอบกุญแจเป็นลายลักษณ์อักษร และมีมาตรการในการป้องกันผู้ไม่ได้รับอนุญาติเข้ามาในคลัง
  • มีเครื่องดักจับควัน และเครื่องดับเพลิง รวมทั้งแผนปฏิบัติการกรณีเกิดอัคคีภัย
  • การจัดเก็บยา มีการแยกหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ จัดเรียงยาแบบ First expire-First out ดังนี้ ยาความเสี่ยงสูง ยาlook-alike-sound-alike มีการจัดเก็บแยกจากกัน เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนจากการเบิกจ่าย ยาเคมีบำบัด มีการจัดเก็บแยกจากยาทั่วไป และมี วิธีปฏิบัติเมื่อตกแตก ยาหมดอายุ ยาเสื่อมสภาพ ยารอคืนบริษัท ยาเรียกคืน มีพื้นที่เฉพาะ แยกจากยาทั่วไป
  • ยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ ยาที่มีโอกาสใช้ในทางที่ผิด มีพื้นที่เก็บแยก ป้องกันการเข้าถึง มีผู้รับผิดชอบชัดเจน มีวิธีปฏิบัติในการเบิก จ่าย และมีบันทึกการทำลาย ถูกต้องตามข้อกฎหมาย และมีการตรวจสอบสม่ำเสมอ
  • สภาพแวดล้องการจัดเก็บยา ต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดบนฉลากยา มีการตรวจสอบ (อุณหภูมิ แสงสว่าง ความชื้น) อย่างเป็นระบบ มีการบันทึกอุณหภูมิและความชื้น วันละสองรอบ โดยอุปกรณ์ ที่ใช้วัดควรมีการสอบเทียบ ปีละ1ครั้ง และมีแนวทางปฏิบัติกรณีที่อุณหภูมิและความชื้นไม่อยู่ ในช่วงที่กำหนด
  • การบริหารจัดการคลัง ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการบริหารจัดการ ที่ทำงานเป็นปัจจุบัน เพื่อ กำหนดค่าต่ำสุด สูงสุด ยอดคงเหลือ และมีรายงานวันหมดอายุยา
  • การรับยา มีการตรวจสอบการจัดส่งจากบริษัทขนส่ง โดยเฉพาะยาที่ต้องควบคุมอุณหภูมิในระบบ ห่วงโซ่ความเย็น การตรวจรับยามีการตรวจสอบความถูกต้อง ทั้งรายการ จำนวน บรรจุภัณฑ์ และ ใบวิเคราะห์ยาก่อนการรับเข้าคลัง และเป็นไปตามระเบียบพัสดุ
  • การเบิกจ่ายยา เป็นไปตามระเบียบพัสดุ มีการตรวจสอบ ข้ามหน่วยงานระหว่างหน่วยเบิก และ คลังยา เอกสารการรับ-จ่ายเป็นปัจจุบัน
  • การกระจายยา ไปยังหน่วยเบิกมีการควบคุมอุณหภูมิ ให้เหมาะสมตามฉลากยา ยาที่ต้องเก็บที่ 2-8 องศา ต้องมีกล่องโฟมในการควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงแนวทางปฏิบัติในการควบคุมคุณภาพ และ ป้องกันการสูญหายระหว่างนำส่ง
  • การเรียกคืนยา สามารถเรียกคืนยากลับจากหน่วยบริการจ่ายยา เมื่อได้รับแจ้งข้อมูล และมีวิธี ปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการเรียกเก็บ และการจัดการยาเรียกคืน
  • มีการสุ่มตรวจสอบยอดคงเหลือ และ ยาคงเหลือจริง อย่างน้อยเดือนละ 1ครั้ง กรณีพบความ คลาดเคลื่อน มีการหาสาเหตุ และทบทวนระบบ
  • มีการรายงานการบริหารเวชภัณฑ์รายไตรมาส รายงานแผนจัดซื้อและรายงานที่เกี่ยวข้องตามที่ กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ครบถ้วนและทันเวลา
  • มูลค่ายาคงคลัง ไม่เกิน 2 เดือน และไม่มียาหมดอายุ เสื่อมสภาพที่ไม่ใช่ Life saving หรือ vital drugในคลัง ยา
-
4
  • คลังมีระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้ระบบ scanหน้า หรือนิ้วมือ และสัญญาณกันขโมย
  • ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการบริหารจัดการคลังเพื่อกำหนดค่าต่ำสุด สูงสุด ยอดคงเหลือ และรายงาน วันหมดอายุยา ที่ทำงานเป็นปัจจุบัน และสามารถติดตาม lot no. ยาที่จ่ายไปในหน่วยบริการ มี ระบบรายงานที่จำเป็นอย่างครบถ้วน
  • มีระบบแจ้งเตือน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือ ขนาด บรรจุ ความแรง หรือ ความเข้มข้นของยา
  • การเรียกคืนยา สามารถเรียกคืนยากลับจากหน่วยบริการจ่ายยา ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อได้รับแจ้ง ข้อมูล และมีวิธีปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการเรียกเก็บ และการจัดการยาเรียกคืน
-
5
  • โปรแกรมบริหารจัดการคลังสามารถเชื่อมต่อกับคลังย่อยของหน่วยบริการจ่ายยา เพื่อบริหารจัดการ ยาคลังยาย่อยโดย ระบบ VMI ที่สามารถตรวจสอบยอดคงคลังยาทั้งโรงพยาบาลแบบ real time
  • กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงบริษัทยา มีแนวทางการแจ้งเตือนและเฝ้าระวังปัญหาคุณภาพยารวมถึง การสุ่มส่งตรวจ วิเคราะห์ ในบางกรณีที่จำเป็น
  • การเรียกคืนยา คลังยาสามารถเรียกคืนยาจากผู้ป่วยได้ ในกรณีที่มีความเสี่ยงร้ายแรง และมีวิธี ปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการเรียกเก็บ และการจัดการยาเรียกคืน
-
กลับหน้าก่อนหน้า